ซีพีเอฟ ประกาศชัด ที่จะมุ่งมั่นยกระดับการเลี้ยงสัตว์ตามหลักสวัสิภาพสัตว์สากลที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เดินหน้าตามเป้าหมายขยายการเลี้ยงสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องแบบคอกขังรวมให้ครอบคุลมธุรกิจประเทศไทยในปี 2568 และกิจการในต่างประเทศในปี 2571 ส่วนธุรกิจสัตว์ปีกดำเนินการตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากลมาตั้งแต่ปี 2543 พร้อมจะขยายผลสู่เกษตรกรในเครือข่าย เพื่อยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารด้วยรับผิดชอบตลอดห่วงโซ่การผลิต
น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านสัตวแพทย์บริการวิชาการ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า สำหรับฟาร์มสร้างใหม่ในประเทศ ตั้งแต่ปี 2560 ถูกออกแบบเป็นคอกขังรวมสำหรับแม่พันธุ์สุกรอุ้มทองทั้งหมด ส่วนฟาร์มเก่าที่เป็นคอกขังเดี่ยว จะทะยอยปรับเปลี่ยน ส่วนฟาร์มสร้างใหม่ของธุรกิจในต่างประเทศจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ครอบคลุมกิจในและต่างประเทศ
ปัจจุบัน ฟาร์มเลี้ยงสุกรของ ซีพีเอฟ ทั้งหมดเป็นโรงเรือนระบบปิดควบคุมอุณหภูมิด้วยการระเหยของน้ำ (Evaporative Cooling System หรือ EVAP) เพื่อปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมกับสัตว์ ได้อยู่สุขสบายในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ทำให้สัตว์เครียด รวมถึงการขนส่งสุกรจะให้สัตว์เดินไปตามทางเดินไปขึ้นรถ โดยไม่มีการตีไล่ ขณะที่บนรถจะมีระบบสปริงเกอร์พ่นน้ำเพื่อลดความร้อนและอุณหภูมิในตัวสัตว์ และขนส่งในจำนวนที่เหมาะสมเท่านั้น
“บริษัทฯ ประกาศนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อตอกย้ำแนวทางการเลี้ยงสัตว์อย่างรับผิดชอบและมีจริยธรรมตามมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นทำให้สัตว์มีความสุขสบายตลอดการเลี้ยง รวมถึงส่งต่อแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านสวัสดิภาพสัตว์ให้กับคู่ค้าธุรกิจของบริษัทนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นหลักประกันให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าจะได้รับอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย” น.สพ.ดำเนิน กล่าว
นอกจากนี้ซีพีเอฟ ได้ดำเนินการและพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ตามมาตรฐานสากลมาอย่างต่อเนื่อง ในธุรกิจสุกรและสัตว์ปีก ตลอดจนธุรกิจสัตว์น้ำ เพื่อให้สัตว์ปราศจากความหิวกระหาย ไม่รู้สึกอึดอัดจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ไม่ป่วย บาดเจ็บ หรือเจ็บปวด ไม่มีความกลัวและความทุกข์ทรมาน และสุดท้ายสัตว์ต้องสามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้ (Five Freedom) ซึ่งสอดคล้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ที่ต้องเลี้ยงสัตว์ให้มีอิสระ 5 ประการ เพื่อทำให้สัตว์มีสุขภาพดี ซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพของเนื้อสัตว์
น.สพ.ดำเนิน กล่าวว่า ซีพีเอฟ มีการพัฒนาการจัดการในฟาร์มสุกร เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการสวัสดิภาพสัตว์ เช่น การเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจโรคโดยวิธีการเก็บตัวอย่างจากน้ำลายของสุกร วิธีการง่ายๆ คือ ใช้เชือกให้สุกรเคี้ยวเล่นแล้วนำน้ำลายทีได้ไปตรวจดรค ทดแทนการเจาะเลือกที่ทำให้สุกรเจ็บปวด นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีนแบบไม่ใช้เข็มเพื่อลดความเจ็บปวดของสุกร เป็นต้น
ด้าน น.สพ.พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานการผลิตสัตว์ปีกและผู้เชี่ยวชาญสวัสดิภาพสัตว์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การดำเนินงานด้านสวัสดิภาพสัตว์ของธุรกิจไก่เนื้อทั้งหมดของประเทศไทยได้ปฏิบัติตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล มาตั้งแต่ปี 2543 และกำลังเร่งพัฒนาเจ้าหน้าที่สวัสดิภาพสัตว์ปีก (Poultry Welfare Officer) ขยายขอบเขตจากประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกประเทศภายในปี 2563 เพื่อช่วยตรวจสอบและให้คำแนะนำด้านสวัสดิภาพสัตว์อย่างถูกต้อง
สำหรับการเลี้ยงไก่ของ ซีพีเอฟ ในประเทศไทย มีการปฏิบัติตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์สากลตั้งแต่โรงเรือนเลี้ยงระบบปิด (EVAP) ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ไก่มีสุขภาพดี มีอิสระในการแสดงพฤติกรรมธรรมชาติ ตามหลักการ Five Freedom ผ่านการตรวจสอบการปฏิบัติที่ดีอย่างสม่ำเสมอและได้ใบรับรองจากบริษัทผู้ตรวจสอบชั้นนำของโลก และซีพีเอฟ ได้รับการรับรองมาตรฐาน QS (Quality and Safety) ซึ่งเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารอย่างเคร่งครัด จากประเทศเยอรมันนี เป็นรายแรกนอกสหภาพยุโรป
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการเลี้ยงสัตว์ปีกตามแนวทาง “ระบบคอมพาร์ทเม้นท์” เพื่อป้องกันไข้หวัดนก และสนับสนุนหลักสวัสดิภาพสัตว์ในเรื่องปราศจากโรคภัย บาดเจ็บและเจ็บปวด ประกอบด้วย 1.มาตรฐานการจัดการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity Management) สำหรับสถานประกอบการ ตามหลักการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุม หรือ HACCP สำหรับโรคไข้หวัดนก 2.การเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในฟาร์มและพื้นที่กันชนในรัศมี 1 กม. รอบฟาร์ม (Surveillance) 3.การควบคุมโรคไข้หวัดนกในฟาร์มและพื้นที่กันชนในรัศมี 1 กม.รอบฟาร์ม 4.ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ทำให้สามารถติดตามข้อมูลการผลิตได้ตลอดห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่โรงงานผลิตอาหารสัตว์ (Feed) ถึง โรงงานแปรรูปอาหาร
[adrotate banner=”3″]
“การปฏิบัติตามนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเราต้องดูแลให้สัตว์อยู่สบาย ปลอดภัยและมีสุขภาพดีที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือฮอร์โมนเพื่อเร่งการเติบโต นั่นคือส่งผลให้เนื้อสัตว์ปลอดโรคและปลอดสารตกค้าง” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าว
น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทกำลังสนับสนุนให้เกษตรกรที่ทำฟาร์มไก่เนื้อให้ดำเนินการตามหลักสวัสดิภาพสัตว์สากล ด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ รวมถึงการฝึกอบรมให้เกษตรกรเข้าใจเพื่อนำความรู้ไปใช้ในฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ได้ขยายผลต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่บริษัทมีการลงทุน เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ให้ปฏิบัติด้วยหลักการเดียวกัน เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัย
“เรายกระดับธุรกิจเนื้อไก่ของ ซีพีเอฟ สู่มาตรฐานระดับโลกแล้ว ซึ่งเราก้าวข้ามไปอีกขั้นในการสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านสวัสดิภาพสัตว์ปีก เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ และเผยแพร่แนวทางการปฏิบัติตามแนวทางสวัสดิภาพสัตว์ได้ตามมาตรฐานสากลที่กำหนด อีกทั้งการปฎิบัติสวัสดิภาพสัตว์ที่ดีเป็นการสนับสนุนโครงการสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) ขององค์การอนามัยโลก ทั้งสุขภาพคน สัตว์และสิ่งแวดล้อม” น.สพ.พยุงศักดิ์ กล่าว
สำหรับนโยบายสวัสดิภาพสัตว์ของ ซีพีเอฟ ยังมุ่งมั่นทำงานร่วมกับคู่ค้าธุรกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจถึงการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างเหมาะสมและมีมนุษยธรรม รวมถึงความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร หน่วยงานภาครัฐ องค์กรภาคประชาสังคม สถาบันด้านการวิจัยและวิชาการ ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมสร้างความตระหนักรู้ถึงหลักการด้านสวัสดิภาพสัตว์ และร่วมพัฒนาแนวทางการเลี้ยงสัตว์ที่ดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเลี้ยงสัตว์และผลิตอาหารด้วยความรับผิดชอบ (Responsible Farming and Food Production) ที่จะช่วยให้สัตว์อยู่อย่างสุขสบายและมีสุขภาพดี จึงลดความจำเป็นเรื่องการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสารใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อการบริโภคเนื้อสัตว์