ส่งออกสินค้าปศุสัตว์ไทยปี 67 พุ่งสุดๆในประวัติกาล ทะลุ 3.2 แสนล้านกลุ่มเนื้อสัตว์ปีกแช่เย็น – แช่แข็งมากที่สุด

  •  
  •  
  •  
  •  

กรมปศุสัตว์ lสรุปผลการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ของไทยปี 2567 มูลค่ากว่า 320,674 ล้านบาท สูงที่สุดในประวัติกาล เผยเติบโตขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 11 ที่มีมูลค่าการส่งออก 288,379 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพของสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก คาดปีนี้การส่งออกสินค้าปศุสัตว์ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การค้าสินค้าปศุสัตว์ของไทยในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออก 320,674 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2566 มีมูลค่าส่งออก 288,379 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 11 โดยสินค้าหลักที่ส่งออกมากที่สุดถึงร้อยละ 50 ของการส่งออกรวมทั้งหมด คือ กลุ่มสินค้าเนื้อสัตว์แช่แข็ง มีมูลค่า 161,996 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นเนื้อสัตว์ปีก ที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์

                                                                               น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์

สำหรับสินค้าที่มีมูลค่ารองลงมา คือ กลุ่มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง มีมูลค่าส่งออกในปี 2567 อยู่ที่ 103,784 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.36 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ทั้งหมด และมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 ถึงร้อยละ 26.76 กลุ่มสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ประกอบด้วย อาหารกระป๋องสุนัขและแมว Pet Treats อาหารขบเคี้ยวสำหรับสุนัขและแมว อาหารเสริมสัตว์เลี้ยง และอาหารเม็ดสุนัขและแมว มีตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศในกลุ่มอาเซียน สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร

ส่วนสินค้าปศุสัตว์ที่มีการส่งออกในกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์แช่เย็น ผลิตภัณฑ์นม ไข่ รังนก นํ้าผึ้ง เนื้อสัตว์บรรจุกระป๋อง สัตว์มีชีวิต ซากสัตว์ และอาหารปศุสัตว์ มีมูลค่าการส่งออกใกล้เคียงกับสถิติในปี 2566 เมื่อพิจารณาข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2567 พบว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าปศุสัตว์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์ และการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดของกรมปศุสัตว์ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นต่อประเทศคู่ค้า

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวต่อไปว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการควบคุมดูแลความปลอดภัยอาหารด้านสินค้าปศุสัตว์ตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูป สถานที่จำหน่ายสินค้าปศุสัตว์ ให้มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับและมีกระบวนการผลิตที่ถูกสุขลักษณะและมีคุณภาพมาตรฐาน ด้วยระบบ GHPs และระบบ HACCP ในสถานประกอบการเพื่อการส่งออกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง กรมปศุสัตว์ได้กำหนดมาตรฐานด้านสุขภาพสัตว์ ความปลอดภัยทางอาหาร สวัสดิภาพสัตว์ และสิ่งแวดล้อม สอดคล้องตามระเบียบและข้อกำหนดของประเทศคู่ค้าและหลักสากล เพื่อพัฒนาความมั่นคงด้านอาหารของโลก และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันเจรจาให้เกิดการส่งออก เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นๆ เจรจาเปิดตลาดสินค้าปศุสัตว์ที่สำคัญทั้งเนื้อสัตว์ปีกแช่แข็ง เนื้อสัตว์แปรรูปไข่และผลิตภัณฑ์จากไข่ และอาหารสัตว์เลี้ยงต่อประเทศผู้ค้าเพิ่มขึ้น โดยมีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบรับจากประเทศคู่ค้าต่างๆ

ทั้งนี้ผลจากการส่งออกสินค้าปศุสัตว์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นการนำเงินตราเข้าประเทศแล้ว อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้มีการจ้างงานในภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิตสินค้าปศุสัตว์ ซึ่งถือเป็นห่วงโซ่การผลิตขนาดใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ เครื่องจักร แรงงานภาคการเกษตร โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงโรงงานผลิตสินค้าปศุสัตว์และโรงงานแปรรูป ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย

ในปี 2568 คาดการณ์ว่า การส่งออกสินค้าปศุสัตว์ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุจากความต้องการแหล่งโปรตีนสำหรับการบริโภคยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ และการเกิดโรคระบาดสัตว์ที่สำคัญในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก ส่งผลกระทบต่อผลผลิตสินค้าปศุสัตว์ทั่วโลก

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้เกิดการขยายตัวของสินค้าปศุสัตว์ไทยในตลาดโลกได้ โดยกรมปศุสัตว์จะทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และผู้ผลิตในการรักษามาตรฐานการผลิต สถานะปลอดโรคที่สำคัญที่มีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ และยังคงความสามารถในการแข่งขันกับประเทศคู่แข่งในตลาดโลก เพื่อให้สามารถรักษาตลาดเก่าได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นอีก