ธ.ก.ส. เปิดรับทำประกันภัยข้าวนาปี 2563 เป้าหมายกว่า 45 ล้านไร่

  •  
  •  
  •  
  •  

ธ.ก.ส.เดินหน้าโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 พื้นที่เป้าหมาย 45.7 ล้านไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับความคุ้มครอง กรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและภัยจากศัตรูพืช โดยรัฐบาลสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยเพื่อจูงใจให้เกษตรกรเห็นประโยชน์ของการทำประกันภัย และกรณีเป็นเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.สมทบค่าเบี้ยประกันภัย พร้อมหนุนเกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่ม เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและลดความเสี่ยงในการผลิตโดยเปิดรับทำประกันภัยแล้วตั้งแต่บัดนี้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา

      นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีมาอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิตโดยใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นสำหรับโครงการประกันภัยข้าวนาปีปีการผลิต 2563 มีเป้าหมายส่งเสริมการทำประกันภัยบนพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ ไม่เกิน45.7 ล้านไร่ ตามมติคณะรัฐมนตรี โดย ธ.ก.ส.พร้อมอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรสามารถยื่นขอทำประกันภัยได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ เพียงนำบัตรประชาชนไปติดต่อก็สามารถทำประกันภัยได้ทันที

        สำหรับเงื่อนไขโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563มีทั้งการประกันภัยขั้นพื้นฐานกรณีเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 97 บาท/ไร่เท่ากันทุกพื้นที่ กรณีเกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เสี่ยงต่ำ อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ในพื้นที่เสี่ยงปานกลาง อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 210 บาทต่อไร่ และในพื้นที่เสี่ยงสูง อัตราค่าเบี้ยประกันภัย 230 บาทต่อไร่(ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 58 บาทต่อไร่ กรณีเป็นลูกค้าเงินกู้ ธ.ก.ส. ที่ใช้บริการสินเชื่อเพื่อปลูกข้าว ธ.ก.ส.จะจ่ายสมบทค่าเบี้ยประกันภัยแทนเกษตรกร 39 บาทต่อไร่ โดยคุ้มครองในกรณีเกิดภัยธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ ภัยน้ำท่วม/ฝนตกหนัก ภัยแล้ง/ฝนแล้ง/ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ/พายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาว/น้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และช้างป่า วงเงินคุ้มครองจำนวน 1,260 บาทต่อไร่และในกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด วงเงินคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่

       นอกจากนี้รัฐบาลยังสนับสนุนให้เกษตรกรทำประกันภัยส่วนเพิ่มเพื่อเพิ่มความคุ้มครองที่มากขึ้นและสอดคล้องกับสภาวะอากาศของโลกในปัจจุบันที่แปรปรวนอย่างมากโดยแบ่งตามระดับความเสี่ยง กรณีพื้นที่เสี่ยงต่ำ ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 24 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง ชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูงชำระค่าเบี้ยประกันเพิ่ม101 บาทต่อไร่(ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)

      ทั้งนี้การทำประกันภัยส่วนเพิ่มดังกล่าว เกษตรกรจะได้รับวงเงินคุ้มครองเมื่อเกิดภัยธรรมชาติเพิ่มอีกในวงเงิน 240 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 1,500 บาทต่อไร่และกรณีเกิดภัยศัตรูพืช/โรคระบาด ได้รับวงเงินคุ้มครองเพิ่ม 120 บาทต่อไร่ รวมเงินประกันภัยที่ได้รับ 750 บาทต่อไร่ระยะเวลาขายกรมธรรม์ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันสิ้นสุดการขายเป็นรายจังหวัด

     นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า เกษตรกรที่เป็นผู้เอาประกันภัยต้องขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปี 2563/64 กับกรมส่งเสริมการเกษตรหรือที่สำนักงานเกษตรอำเภออย่างไรก็ตาม การใช้บริการที่สาขาจะดำเนินมาตรการตามหลักการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่Call Center 02 555 0555หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.baac.or.th